2021-06-15_Banner-MHed

เสริมเกราะป้องกันให้ตัวเองสู้สภาวะสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ

สภาวะแวดล้อมทุกวันนี้ ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาด้านสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหามลพิษจากท้องถนน สารพิษที่เกิดจากการก่อสร้าง โรงงาน รวมถึงฝุ่น PM2.5 ที่เหมือนจะอยู่กับเรานานขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อร่างกายของเราสะสมสารพิษมากขึ้น จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะอ่อนแอ และภูมิต้านทานลดลง สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นสาเหตุของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้นจึงควรเตรียมความพร้อมและเสริมเกราะป้องกันให้ตัวเอง โดยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และจำเป็นต่อรางกาย

เมื่อพูดถึงอาหารที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สิ่งแรกที่หลายคนมักจะนึกถึงก็คือ วิตามินซี ซึ่งจริง ๆ แล้วในด้านโภชนาการ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรค สารพิษและสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตรายต่อร่างกายนั้น คือการที่มีภาวะโภชนาการที่ดีได้รับพลังงาน สารอาหารหลักทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และสารอาหารรอง ทั้งวิตามิน A, C, E, D, B6, B9 (โฟเลต), B12 และแร่ธาตุสังกะสี ซีลีเนียม เหล็กทองแดง แมกนีเซียม และแมงกานีส รวมทั้งดื่มน้ำสะอาดที่เพียงพอและสมดุลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจะรับประทานอาหารให้ได้ครบทั้งสารอาหารหลัก และสารอาหารรองดังกล่าวให้เพียงพอนั้น เราสามารถเลือกรับประทานได้จากแหล่งอาหารธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องรับประทานในรูปแบบอาหารเสริมแต่อย่างใด เพราะยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าวิตามินหรือแร่ธาตุตัวไหนจะป้องกันการติดเชื้อโคโรนาไวรัสได้ แต่เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพและเป็นแนวทางในการเลือกแหล่งอาหารที่ดี และมีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ขอหยิบยกสารอาหารตัวเด่น ๆ ที่มีบทบาทต่อภูมิต้านทานดังนี้ค่ะ

วิตามินซี

2021-06-15_Banner-MH-VitaminC

เมื่อร่างกายของคุณต่อสู้กับการติดเชื้อจะเกิดภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน (Oxidation stress) นำไปสู่การผลิตสารอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่สามารถทำลายเนื้อเยื่อและก่อให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงได้ วิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยปกป้องเซลล์จากภาวะดังกล่าว (free radicals) ที่สามารถทำลายเนื้อเยื่อและก่อให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงได้

นอกจากนี้ วิตามินซี ยังช่วยสนับสนุนการผลิตเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล (neutrophils) เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (lymphocytes) และเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดฟาโกไซต์ (phagocytes) โดยความต้องการต่อวันตามข้อกำหนดปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2563 ในเด็กและวัยรุ่นช่วงอายุ 9-18 ปี ควรได้รับ 60-100 มิลลิกรัมต่อวัน และวัยผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 85-100 มิลลิกรัมต่อวัน

แหล่งวิตามินซีสูง ได้แก่ ผักผลไม้ต่าง ๆ เช่น ฝรั่ง พริกหวาน มะขามป้อม ผักคะน้า มะขามเทศ มะระขี้นก เงาะ บร็อคโคลี มะละกอ ดอกกะหล่ำ ส้มโอ ถั่วลันเตา เป็นต้น

วิตามินบี

2021-06-15_Banner-MH-VitaminB

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง B6, B9 และ B12 เป็นหน่วยสนับสนุนการตอบสนองแรกของร่างกายเมื่อได้รับเชื้อก่อโรค โดยวิตามินบีจะช่วยสนับสนุนการผลิตและกิจกรรมของเซลล์นักฆ่า (natural killer cell) ของร่างกาย โดยเซลล์นักฆ่าจะทำงานโดยการที่ทำให้เซลล์ที่ติดเชื้อเปลี่ยนแปลงรูปร่างและเกิดการแตกหักของสายดีเอ็นเอซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า apoptosis”

แหล่งสารอาหารของวิตามินบี พบได้ในธัญพืชพืชตระกูลถั่ว ผักใบเขียว ผลไม้ ถั่ว ปลา ไก่และเนื้อสัตว์ สำหรับวิตามินบี 9 (หรือโฟเลต) จะพบมากในผักใบเขียว พืชตระกูลถั่ว ถั่วและเมล็ดพืช และวิตามินบี 12 (cyanocobalamin) จะพบได้ในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ นมและในนมถั่วเหลืองเสริม

วิตามินอี

2021-06-15_Banner-MH-VitaminE
สารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก ๆ เพราะฉะนั้นก็จะช่วยต้านทานเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ดีด้วยเช่นกัน แหล่งวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา กลุ่มถั่ว ไม่ว่าจะเป็นอัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี รวมถึงยังพบมากในกีวี มะเขือเทศ แล้วก็ผักปวยเล้งด้วย
อ้างอิงบทความจาก